บทเรียนชีวิตจากแฮร์รี่ พอตเตอร์ - ค้นพบความหมายที่ซ่อนไว้ในเวทมนตร์ มิตรภาพ ความกล้าหาญ และความรัก

บทเรียนชีวิตจากแฮร์รี่ พอตเตอร์ - ค้นพบความหมายที่ซ่อนไว้ในเวทมนตร์ มิตรภาพ ความกล้าหาญ และความรัก

คนที่โตมาในยุค 2000 ต้องเคยผ่านตากับแฮร์รี่ พอตเตอร์ กันมาแน่ ๆ ไม่ว่าจะในรูปแบบภาพยนตร์หรือหนังสือนิยาย ที่ในยุคนั้นหนังสือภาคใหม่ออกทีไรจะกลายเป็นปรากฎการณ์ระดับโลก คนไปต่อคิวซื้อที่ร้านหนังสือตั้งแต่ร้านยังไม่เปิด และสำนักพิมพ์นานมีบุ๊กส์ของไทยจะเปิดให้จองหนังสือล่วงหน้าก่อนวางจำหน่าย ผ่านบรรณารักษ์ประจำห้องสมุดโรงเรียน เรียกว่าเด็กยุคนั้นรู้จักการพรีออเดอร์จากหนังสือชุดนี้เลย

นอกจากเนื้อเรื่องที่สนุกชวนจินตนาการ หนังสือชุดนี้ยังสอดแทรกบทเรียนชีวิตให้เราได้เรียนรู้ผ่านทุกตัวละคร ไอติมฮีลใจ ep นี้จะมาแนะนำเนื้อหาในหนังสือ "บทเรียนชีวิต จากแฮร์รี่ พอตเตอร์" เขียนโดย จิลล์ โคลอนกอวสกี อาจารย์สอนวิชาการเขียนและวรรณคดี ผู้กลับไปอ่านแฮร์รี่ พอตเตอร์ ซ้ำทุก ๆ ปี มาเป็นเวลากว่า 20 ปี ทำให้เธอได้เรียนรู้หลายสิ่งจากหนังสือชุดนี้ผ่านมุมมองที่โตขึ้น หนังสือเล่มเดิม ข้อความเดิม แต่กลับสอนการใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณค่า ผมนำบางส่วนที่เธอได้เรียนรู้และเขียนไว้ในหนังสือมาเล่าให้เพื่อน ๆ ได้ฟังกันครับ

ลูมอส

เสกแสงสว่างให้ชีวิตด้วยการมองโลกในแง่ดี

ตลอดชีวิต 11 ปี ที่แฮร์รี่เติบโตมา เขาไม่เคยมีช่วงเวลาที่มีความสุขเลย แล้ววันหนึ่งเขามีโอกาสได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในโลกเวทมนตร์ซึ่งเต็มไปด้วยความตื่นตาตื่นใจและความแปลกใหม่ เป็นสถานที่ที่ในที่สุดเขาก็พบว่ามันเป็นที่ของเขา เขาได้พบว่าด้านหลังร้านหม้อใหญ่รั่วมีตรอกไดแอกอนซ่อนอยู่ ที่นั่นเขาได้เห็นหม้อปรุงยา ตับมังกร ไม้กวาดวิเศษ และพวกก็อบลินที่ธนาคารกริงกอตส์ และที่โรงเรียนฮอตวอตส์ก็เต็มไปด้วยความลับมากมายรอให้ค้นหา

แม้แต่ดับเบิลดอร์ อาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนผู้มีอายุ 113 ปี ก็ยังยอมรับว่าเขาไม่ได้รู้ทุกความลับที่ซ่อนอยู่ในฮอกวอตส์ ที่นี่ยังมีสิ่งใหม่ ๆ ให้ดับเบิลดอร์ค้นพบอีกมากมาย เราได้เรียนรู้จากเขาว่า ถึงแม้ความรู้สึกตื่นเต้นตามประสาเด็ก ๆ ในตัวของเราจะหายไประหว่างทางที่เราเติบโต แต่เราก็ยังกลับมารู้สึกตื่นเต้นได้อีกครั้ง หากเรากระตือรือร้นที่จะเรียนรู้

การจะมีความกระตือรือร้นเช่นนั้นได้ เราต้องยอมรับกับตัวเองก่อนว่ายังมีสิ่งที่เราไม่รู้ และมีหลายสิ่งที่เราสามารถเรียนรู้เพิ่มได้อีก ความปรารถนาที่จะเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเรามีความถ่อมตัว โวลเดอมอร์เป็นตัวอย่างที่แย่ในเรื่องนี้ โศกนาฏกรรมมากมายที่เกิดขึ้นกับเขา เป็นเพราะเขาทึกทักว่าตัวเองรู้ทุกเรื่อง มั่นใจว่าตัวเองรู้ดีกว่าใคร จึงไม่มีอะไรที่เขาต้องเรียนรู้เพิ่มเติมอีก

เขาคิดเอาเองว่าไม่มีใครรู้ความลับเรื่องฮอร์ครักซ์และสถานที่ที่เขาเอามันไปซ่อน ซึ่งหนึ่งในสถานที่ซ่อนมีฮอกวอตส์รวมอยู่ด้วย เขาไม่คิดว่าคนอื่นจะรู้วิธีเปิดห้องต้องประสงค์เหมือนที่เขารู้ แต่สุดท้ายแฮร์รี่, ดัมเบิลดอร์ และมัลฟอยก็ค้นพบวิธีเปิดห้องต้องประสงค์จนได้ การที่โวลเดอมอร์ไม่กระตือรือร้นที่จะเรียนรู้อะไรทั้งนั้น ทำให้จิตวิญญาณของเขาถูกทำลายในที่สุด

ความกระตือรือร้นไม่ได้อยู่แค่เรื่องสิ่งของ ในเล่ม แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับถ้วยอัคนี มีตอนหนึ่งที่รอนและเฮอร์ไมโอนี่ทะเลาะกันใหญ่โต แต่เหตุการณ์นั้นก็ทำให้ทั้งคู่เกิดความกระตือรือร้นที่จะทำความรู้จักกับอีกฝ่ายในฐานะอื่นที่มากกว่าเพื่อน นำไปสู่การมองชีวิตในมุมที่กว้างขึ้น และรู้จักคิดถึงคนอื่น ไม่ใช่แค่ตัวเอง

ลูมอส เป็นคาถาสำหรับเสกแสงสว่าง ในช่วงเวลาที่ทางข้างหน้ามืดมิด ความกระตือรือร้นจะเป็นเหมือนคาถาลูมอส มันเปิดโอกาสให้เราได้เห็นสิ่งใหม่ ๆ เห็นว่าสิ่งที่อยู่ข้างหน้าคืออะไร มองมันผ่านมุมมองใหม่ และกั้นไม่ให้เรามองโลกในแง่ร้าย


เลกจิลิเมนส์

เส้นแบ่งระหว่างความดีกับความชั่ว

ผู้เขียนเล่าว่าเรื่องเลวร้ายที่สุดที่เธอเคยทำ คือตอนที่เธอถูกน้องสาวยั่วโมโหแล้วทนไม่ไหว จึงคว้าคอเสื้อน้องแล้วโยนน้องลอยไปกระแทกกับประตูอีกฝั่งของทางเดิน จนบานพับประตูหัก หลังจากนั้นเธอก็รู้ตัวแล้วพร่ำขอโทษน้องสาวไม่หยุด

ผู้เขียนคิดว่าวันนั้นเธอเป็นเหมือนแฮร์รี่ตอนที่เขาเสกคาถาเซ็กตัมเซมปร้าใส่มัลฟอยใน แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับเจ้าชายเลือดผสม แม้แฮร์รี่อยากจะทำร้ายมัลฟอย แต่เขาไม่ได้เจตนาทำให้มัลฟอยบาดเจ็บขนาดนั้น เขาแค่เผลอไปชั่ววูบ เมื่อเห็นร่างที่อาบไปด้วยเลือดของมัลฟอย แฮร์รี่ก็รู้สึกขนลุกเมื่อเห็นว่าตัวเองทำอะไรลงไป ตอนที่ผู้เขียนทำร้ายน้องสาว ด้านมืดที่เกิดขึ้นในตอนนั้นทำให้เธอกลัว เธอพบว่ามีบางส่วนในตัวเธอที่ไม่ได้แสนดีตลอดเวลา

แฮร์รี่ พอตเตอร์ อาจเป็นหนังสือที่เล่าเรื่องราวการต่อสู้ระหว่างความดีกับความชั่ว แต่ถ้ามองให้ลึกจะเห็นว่าเส้นแบ่งระหว่างความดีกับความชั่วไม่ได้ชัดเจนเสมอไป ตัวละครเกือบทั้งหมดไต่อยู่บนเส้นแบ่งระหว่างความดีกับความชั่ว แม้แต่โวลเดอมอร์ที่ต่อให้เขาชั่วร้ายแค่ไหน แต่ขณะเดียวกันก็ยังมีเศษเสี้ยวของเด็กที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็น เด็กชายแสนดีที่เขาอาจโตมาเป็นคนดี สิ่งที่แฮร์รี่เห็นในเครื่องรางยมทูตอาจเป็นเด็กคนนี้ เศษเสี้ยวความดีที่ยังหลงเหลืออยู่ในตัวของโวลเดอมอร์

บทเรียนที่ตัวละครในเรื่องได้เรียนรู้ คือสิ่งเดียวกับที่พวกเราต้องเรียนรู้ นั่นคือเราไม่ใช่คนดีอย่างที่เราคิดเสมอไป เราอาจทำสิ่งที่ชั่วร้ายมาก ได้พอ ๆ กับทำสิ่งที่ดี

เลกจิลิเมนส์ คือคาถาพินิจใจ หนังสือชุดนี้ต้องการให้ตัวละครและผู้อ่านทำสิ่งนี้ คือการมองลึกเข้าไปในก้นบึ้งของหัวใจตัวเองและตรวจสอบมัน เราอาจไม่ชอบสิ่งที่เห็น ไม่อยากเห็นความชั่วที่อยู่ในตัวเรา

พวกเราทุกคนล้วนแสดงด้านที่แย่ที่สุดของตัวเองออกมาได้กันทั้งนั้น แต่เราเรียนรู้จากแฮร์รี่ว่าเราต้องตระหนักว่ามีปีศาจอยู่ข้างในตัวเรา และเราต้องต่อสู้กับมัน แฮร์รี่ไม่ใช่ฮีโร่ที่ดีบริสุทธิ์ เขาเคยทำผิดพลาด เขาจำเป็นต้องมีคนรอบข้างคอยสนับสนุน เขาล้มเหลวหลายครั้งและลุกขึ้นมาสู้ต่อใหม่ทุกครั้ง ต่อให้เราไม่ใช่คนดีอย่างที่เราอยากเป็น แต่เราก็ยังต่อสู้และขับไล่ปีศาจในตัวออกไปได้


สเปเซียอาลิส เรเวลิโอ

ชะตาลิขิตกับการเลือกทางเดินชีวิตด้วยตัวเอง

คาถาสเปเซียอาลิส เรเวลิโอ คือคาถาที่ใช้กับวัตถุเพื่อให้มันเปิดเผยความลับออกมา แล้วถ้าเราใช้คาถานี้เปิดเผยชะตาชีวิตและอนาคตของเราได้ล่ะ เราจะใช้คาถานี้เพื่อดูว่าสิ่งที่รอเราอยู่ข้างหน้าคืออะไรไหม

ในนิยาย แฮร์รี่ถูกลากกลับไปกลับมาตลอดระหว่างชะตาลิขิตกับการเลือกทางเดินชีวิตด้วยตัวเอง เขาคือผู้ถูกเลือกให้มีชีวิตอยู่เพื่อฆ่าโวลเดอมอร์ หรือเขาเลือกใช้ชีวิตแบบนั้นด้วยตัวเอง แฮร์รี่พยายามหาคำตอบให้กับคำถามข้อนี้ เหมือนกับพวกเราทุกคนที่สงสัยว่าอนาคตของเราถูกกำหนดเอาไว้แล้วหรือเปล่า หรือตัวเรานี่แหละคือคนที่กำหนดเส้นทางชีวิตของตัวเอง

ก่อนแฮร์รี่จะเกิด ทรีลอว์นีย์ได้พยากรณ์เอาไว้ว่า "ผู้มีอำนาจจะปราบเจ้าแห่งศาสตร์มืดกำลังใกล้เข้ามา เขาคนนั้นมีอำนาจที่เจ้าแห่งศาสตร์มืดไม่รู้จัก และอีกคนจะต้องตายด้วยน้ำมือของอีกคน เพราะทั้งสองไม่อาจอยู่ได้ถ้าอีกคนยังอยู่รอด" โวลเดอมอร์เชื่อคำทำนายและตามหาตัวแฮร์รี่ จากนั้นก็ฆ่าพ่อแม่ของแฮร์รี่ และพยายามจะฆ่าเขาแต่ไม่สำเร็จ

แม้สุดท้ายจะดูเหมือนว่าคำพยากรณ์กลายเป็นจริง แต่เขาไม่ได้อยากปราบโวลเดอมอร์เพราะคำพยากรณ์บอกให้ทำ แฮร์รี่เลือกที่จะหนีโวลเดอมอร์ไปตลอดทั้งชีวิตก็ได้ แต่เขาไม่ทำ เขาเลือกที่จะสู้กับโวลเดอมอร์

มีบางครั้งที่แฮร์รี่รู้สึกว่าตัวเองเลือกทางผิด แต่หลังจากนั้นเขาพบว่าสิ่งที่เขาเลือกนั้นทำให้เขาเป็นตัวเองในแบบที่ดีกว่าเดิม อำนาจในการเลือกเส้นทางชีวิตด้วยตัวเอง เปิดโอกาสให้เราเรียนรู้และสัมผัสกับประสบการณ์ที่หอมหวานหรืออาจจะขมขื่น เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าทางที่เราเลือกจะพาเราไปจุดไหน ดังนั้นเราต้องทำสิ่งที่เลือกแล้วให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้


อีวาเนสโค

การสูญเสียฮีโร่

ในหนังสือชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ มีฮีโร่อยู่เต็มไปหมด แฮร์รี่ที่โตมาโดยไม่มีพ่อแม่เป็นฮีโร่ให้ยึดเป็นแบบอย่าง เมื่อเขาเห็นดัมเบิลดอร์ในครั้งแรก เขาก็ยกย่องดัมเบิลดอร์ในฐานะฮีโร่ด้วยความเคารพและน่ายำเกรง จะมีใครบ้างที่ไม่มองดัมเบิลดอร์แบบนั้น

แฮร์รี่มักไปพบดัมเบิลดอร์เมื่อเขารู้สึกกังวล เพียงแค่ดัมเบิลดอร์ปรากฎตัวก็ทำให้แฮร์รี่อุ่นใจขึ้นมาได้ ตอนที่แฮร์รี่ต้องไปขึ้นศาลใน แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับภาคีนกฟีนิกซ์ ดัมเบิลดอร์ก็ไปที่นั่นด้วยเพื่อแก้ต่างให้แฮร์รี่

แต่แล้วแฮร์รี่ก็รู้สึกว่าดัมเบิลดอร์ไม่ใช่ฮีโร่ที่สมบูรณ์แบบอย่างที่เขาคิด เมื่อได้รู้เรื่องราวในอดีตของดัมเบิลดอร์ เขาเคยสนิทกับกริลเดลวัลด์ซึ่งเป็นพ่อมดผู้ชั่วร้าย ดัมเบิลดอร์ทอดทิ้งครอบครัว และปล่อยให้น้องสาวของเขาตาย สิ่งเหล่านี้ทำให้แฮร์รี่พบว่าเขากำลังสูญเสียฮีโร่คนที่คิดว่าตัวเองเคยมีอยู่

อีวาเนสโค เป็นคาถาที่ทำให้สิ่งต่าง ๆ หายไป เหตุการณ์แบบแฮร์รี่จะเกิดกับเราทุกคนอย่างเลี่ยงไม่พ้น เราจะพบว่าฮีโร่ของเราไม่ว่าจะเก่งและแสนดีแค่ไหน แต่พวกเขาก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งที่มีข้อบกพร่องและเคยทำผิดพลาด

เมื่อเรื่องราวดำเนินต่อไป แฮร์รี่ยอมรับได้มากขึ้นว่าเขาจะไม่มีฮีโร่ที่แท้จริงในชีวิต แม้แฮร์รี่จะได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อน, ครอบครัว และดัมเบิลดอร์ แต่ในบทสุดท้ายของแฮร์รี่ พอตเตอร์ กับเครื่องรางยมทูต แฮร์รี่ต้องเดินเข้าป่าต้องห้ามเพียงลำพัง ในที่สุดแล้วเราต้องเผชิญทุกอย่างด้วยตัวคนเดียวโดยไม่มีฮีโร่คอยเคียงข้าง

แต่ฮีโร่เหล่านั้นไม่ได้หายไปซะทีเดียว เพราะแฮร์รี่ไม่เคยสลัดภาพของพ่อแม่, ซีเรียส หรือดัมเบิลดอร์ออกไปได้ เขาต้องการฮีโร่ในแบบที่แตกต่างออกไป ตอนนี้ฮีโร่ไม่จำเป็นต้องมาช่วยชีวิตหรือปกป้องเขา

ในเล่มสุดท้ายของหนังสือ เราได้เห็นแฮร์รี่ทำสิ่งเดียวกับที่ดัมเบิลดอร์เคยทำให้เขา แฮร์รี่กลายเป็นผู้นำทาง เป็นผู้ให้ความรู้ แบบเดียวกับที่ฮีโร่ของเขาเคยเป็น ฮีโร่คือคนธรรมดาคนหนึ่งซึ่งเป็นที่ต้องการในสถานการณ์ที่ยากลำบาก เราเรียนรู้ที่จะเป็นฮีโร่แบบนั้นได้


เอกซ์เปกโต พาโตรนุม

ว่าด้วยเรื่องมิตรภาพ

มีงานวิจัยหนึ่งพบว่า ผู้สูงอายุที่มีเพื่อนกลุ่มใหญ่มีอัตราเสียชีวิตน้อยกว่าถึง 22% และงานวิจัยอีกชิ้นพบว่า ผู้หญิงที่เป็นมะเร็งเต้านมและมีเพื่อนน้อย มีแนวโน้มเสียชีวิตมากกว่าผู้หญิงที่มีเพื่อนเยอะสูงถึง 4 เท่า งานวิจัยเหล่านี้พอบอกได้ว่ามิตรภาพส่งผลต่อการมีชีวิตที่ยืนยาว

ตอนอ่านหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์ เรารู้สึกได้ถึงความเบิกบานและความเจ็บปวดที่เกิดจากมิตรภาพ พวกเราหลายคนมีเพื่อนรักมากมาย แต่ขณะเดียวกันก็สูญเสียเพื่อนรักไปมากมายเช่นกัน บ่อยครั้งเป็นการสูญเสียแบบค่อยเป็นค่อยไป จนเราไม่ทันได้สังเกต

แฮร์รี่เกิดความรู้สึกแบบนี้ตอนที่รอนและเฮอร์ไมโอนี่ต้องแยกไปนั่งตู้รถไฟของพวกพรีเฟ็คเป็นครั้งแรกในแฮร์รี่ พอตเตอร์ กับภาคีนกฟีนิกซ์ และหลังจากนั้นเมื่อรถไฟแล่นมาถึงสถานีฮอกส์มี้ด เป็นครั้งแรกที่แฮกริดไม่มารอรับเขาที่สถานี ความเหินห่างที่เกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปนี้ อาจเป็นจุดเริ่มต้นของความห่างหาย

แต่แฮร์รี่และเพื่อน ๆ ไม่ยอมให้มันเกิดขึ้น มิตรภาพระหว่างแฮร์รี่, รอนและเฮอร์ไมโอ เป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในหนังสือชุดนี้ ทั้งสามถูกดึงดูดเข้าหากันแบบเดียวกับเพื่อนสมัยเด็กของเรา พวกเขาอาจบังเอิญได้มานั่งที่ห้องโดยสารเดียวกัน แต่หลังจากนั้นมิตรภาพก็เติบโตขึ้นและพัฒนาไปไกลกว่าแค่ความบังเอิญในตอนแรก

เอกซ์เปกโต พาโตรนุม คือคาถาที่เอาไว้เรียกผู้พิทักษ์ ในตอนต้นของหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์ กับภาคีนกฟีนิกซ์ แฮร์รี่และดัดลีย์ถูกผู้คุมวิญญาณโจมตี แฮร์รี่พยายามร่ายคาถาผู้พิทักษ์แต่ไม่สำเร็จ ความคิดที่แวบเข้ามาในหัวตอนนั้นคือ เขากลัวจะไม่ได้เจอรอนกับเฮอร์ไมโอนี่อีก การคิดถึงเพื่อนทั้งสองทำให้เขาร่ายคาถาได้สำเร็จ ความรักที่เขามีต่อเพื่อนคือสิ่งที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้

เวลาที่เราเชื่อใจเพื่อน เรากำลังบอกว่าเสี้ยวเล็ก ๆ ของเราเป็นของพวกเขา และเราเก็บเสี้ยวเล็ก ๆ ของพวกเขาไว้กับเราด้วยเช่นกัน มิตรภาพคือการที่เรายอมโอนอ่อนผ่อนตาม ยอมให้ตัวเองมีจุดอ่อน ต้องคิดให้ไกลเกินกว่าตัวเอง นี่คือเหตุผลที่โวลเดอมอร์ไม่เคยมีเพื่อนแท้ เพราะเขามองว่าการมีจุดอ่อนคือความอ่อนแอ

การยอมให้ตัวเองมีจุดอ่อนเพื่อสร้างมิตรภาพที่ลึกซึ้งต้องใช้ความกล้าหาญ ต้องกล้าที่จะไว้ใจเพื่อนและยอมให้พวกเขาช่วยเหลือเหมือนที่แฮร์รี่ได้เรียนรู้ กล้าที่จะขอโทษเหมือนที่รอนทำ และกล้าที่จะให้อภัยเหมือนที่แฮร์รี่กับเฮอร์ไมโอนี่ให้อภัยรอน


ริดดิคูลัส

คุณค่าของเสียงหัวเราะในช่วงเวลาที่เลวร้าย

แฮร์รี่ พอตเตอร์ สามเล่มแรกอบอวลไปด้วยเสียงหัวเราะ เราค้นพบโลกใบใหม่พร้อมกับแฮร์รี่ สิ่งแปลกใหม่ทำให้เราตื่นตาตื่นใจและขบขัน ไม่ว่าจะเป็นกบช็อกโกแลต, เนวิลล์ที่วิ่งกลับที่นั่งทั้งที่ยังสวมหมวกคัดสรร, รถเหาะได้ที่ทำทุกอย่างตามอำเภอใจ และเรื่องน่าตลกอีกนับไม่ถ้วน

แต่เมื่อตัวละครเริ่มโตขึ้น เสียงหัวเราะค่อย ๆ จางไป คำพูดของดัมเบิลดอร์จริงจังขึ้น แต่ถึงแม้เรื่องราวในหนังสือจะเข้มข้นขึ้น เราก็ยังพบอารมณ์ขันของตัวละคร เช่นเดียวกับที่เราพบเจอในชีวิตประจำวัน

แน่นอนว่าผู้ที่สร้างเสียงหัวเราะให้กับเราได้มากที่สุดคือฝาแฝดเฟร็ดกับจอร์จ พวกเขาขาย "กล่องอาหารว่างเลี่ยงงาน" ที่ทำให้คนกินเป็นลม, เลือดกำเดาไหล และอาเจียน ซึ่งเป็นกระแสที่นักเรียนฮอกวอตส์แห่มาซื้อ เพื่อเป็นข้ออ้างที่จะได้ไม่ต้องเข้าเรียน เพื่อต่อต้านอัมบริดจ์ นอกจากนี้เฟร็ดกับจอร์จยังจุดดอกไม้ไฟเป็นคำสบถต่าง ๆ ให้กับกฏข้อบังคับที่แสนจะกดขี่ของอัมบริดจ์และกระทรวงเวทมนตร์

เฟร็ดกับจอร์จสอนเราว่าบางครั้งอารมณ์ขันก็เป็นมากกว่าวิธีเบี่ยงเบนความสนใจ เมื่อเราต้องการเอาชนะความชั่วร้าย เสียงหัวเราะก็ทรงพลังไม่ต่างจากไม้กายสิทธิ์ อารมณ์ขันของทั้งคู่แสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งที่ไม่สยบยอมต่อการกดขี่

บางครั้งช่วงเวลาที่ตลกที่สุดเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ที่จะหัวเราะ ท่ามกลางความหม่นหมองมากมาย สุดท้ายเสียงหัวเราะจะกลับมาทุกครั้ง ต่อให้เราคิดว่ามันจะไม่กลับมาก็ตาม เช่นเดียวกับเวลาที่เผชิญหน้ากับบ็อกการ์ต มันจะแปลงร่างเป็นสิ่งที่เรากลัว เมื่อเรากล้าที่จะเอาชนะความกลัวนั้นและเสกคาถาริดดิคูลัส สิ่งที่ทำให้เรากลัวก็จะน่ากลัวน้อยลง


เพ็ตตริฟิคัส โททาลัส

ว่าด้วยเรื่องความกล้าหาญ

บทเรียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เราได้เรียนรู้จากเรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์ คงหนีไม่พ้นเรื่องความกล้าหาญ เราเรียนรู้จากการเฝ้ามองตัวละครต่อสู้กับความกลัว ผู้เขียนตั้งชื่อตอนนี้ว่า เพ็ตตริฟิคัส โททาลัส ซึ่งเป็นคาถาสะกดนิ่ง เพื่อเป็นการยกย่องเนวิลล์ที่ได้แสดงความกล้าหาญเป็นครั้งแรกในแฮร์รี่ พอตเตอร์ กับศิลาอาถรรพ์ ตอนที่เนวิลล์พยายามหยุดสามสหายไม่ให้แอบหนีออกจากหอหลังเวลาที่ได้รับอนุญาต เพราะไม่อยากให้บ้านกริฟฟินดอร์ถูกหักคะแนน

เฮอร์ไมโอนี่จึงจำเป็นต้องร่ายคาถาสะกดนิ่งเพื่อหยุดเนวิลล์ เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าเนวิลล์พร้อมที่จะเอาตัวไปขวางไม้กายสิทธิ์ ครั้งนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของความกล้าหาญที่เติบโตขึ้นในตัวเขา และหลังจากนั้นเนวิลล์ก็มีบทบาทมากขึ้นในเรื่อง ผู้อ่านได้เห็นเนวิลล์แสดงความกล้าหาญที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ

เรายังได้เห็นความกล้าหาญของสเนป กับการที่ต้องอยู่อย่างไร้ความสุขเพื่ออุทิศชีวิตให้แก่ความรักที่ไม่สมหวัง โดยการดูแลแฮร์รี่อยู่ห่าง ๆ เพราะเป็นลูกชายของผู้หญิงที่เขาแอบรัก

หลายครั้งที่แฮร์รี่ถูกสถานการณ์บีบบังคับ ทั้งที่รู้สึกว่าตัวเองเก่งไม่พอ ไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นผู้นำที่ดีได้ กังวลว่าเวทมนตร์ที่เขามีจะแกร่งไม่พอ กังวลว่าจะตัดสินใจผิดพลาด กังวลว่าจะทำให้ทุกคนผิดหวัง แต่เขาก็ลงมือทำต่อด้วยความกล้าหาญ

ขณะที่ดัมเบิลดอร์ย้อนกลับไปคิดทบทวนถึงอดีตที่เคยตัดสินใจผิดพลาด และผลของสิ่งนั้นก็ยังส่งผลต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน แต่การเผชิญหน้ากับความผิดของตัวเองก็ถือเป็นความกล้าอย่างหนึ่ง มันทำให้แฮร์รี่, ดัมเบิลดอร์และสเนปเป็นมนุษย์ที่ดีขึ้นกว่าเดิม

สุดท้ายผู้เขียนกล่าวจบในหนังสือเล่มนี้ว่า ขอให้เรากล้าหาญเช่นแฮร์รี่ เมื่อต้องหยิบหมวกคัดสรรมาสวมและทำลายฮอร์ครักซ์ที่เราอาจเจอในชีวิต ขอให้เรากล้าหาญแบบเนวิลล์ เมื่อต้องชี้ไม้กายสิทธิ์ไปที่คนที่จะทำร้ายเรา แม้คนนั้นจะเป็นเพื่อนของเราก็ตาม ขอให้เราอย่างยอมจำนนต่อชะตากรรม แต่หันมาเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น


ทั้งหมดนี้คือบางส่วนจากหนังสือ "บทเรียนชีวิต จากแฮร์รี่ พอตเตอร์" เขียนโดย จิลล์ โคลอนกอวสกี ตีพิมพ์เป็นภาษาไทยโดยสำนักพิมพ์นานมีบุ๊กส์ เล่มนี้ตีพิมพ์มาตั้งแต่ปี 2018 ผมได้มาจากการคุ้ยกองหนังสือเก่าจากงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ร้านเลหลังขายแค่ไม่กี่สิบบาท แต่เนื้อหาในหนังสือมีคุณค่า อ่านแล้วได้มุมมองใหม่ ๆ ในการใช้ชีวิต สำหรับผมคิดว่าเล่มนี้มีคุณค่าพอที่จะเสาะหามาอ่านครับ